จากโลกการ์ตูนสู่โลกความจริง ฮิเดโตชิ นากาตะ

จากโลกการ์ตูนสู่โลกความจริง ฮิเดโตชิ นากาตะ


ย้อนไปในยุค 90s ในขณะที่เด็กชายในญี่ปุ่นส่วนใหญ่สนใจในกีฬาเบสบอลซึ่งตอนนั้นเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ แต่ฮิเดโตชิ นากาตะ กลับแตกต่างออกไป เขาคลั่งใคล้ในกีฬาฟุตบอลทั้งที่ตอนนั้นลีกฟุตบอลอาชีพของประเทศญี่ปุ่นเพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นในปี 1992 ซึ่งก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากเท่าไหร่ แต่เขากลับมุ่งมันให้ความสำคัญกับฟุตบอลมากกว่าเด็กชายคนอื่น ๆ เหตุผลก็เพราะเขาอยากเป็นเหมือนกับตัวการ์ตูนที่เขาชื่นชอบ


การ์ตูนเรื่องกัปตันซึบาสะ ที่เขียนโดยอาจารย์โยอิจิ ทาคาฮาชิ เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเตะที่ใฝ่ฝันอยากจะพาทีมชาติญี่ปุ่นไปเป็นที่รู้จักของโลกฟุตบอลและมุ่งมั่นฝึกฝนจนทำมันได้สำเร็จ และตัวของฮิเดโตชิ นากาตะ เองก็ใฝ่ฝันอยากจะทำแบบนี้เหมือนกัน เขาเริ่มเล่นฟุตบอลให้ทีมโรงเรียนตั้งแต่อายุ 9 ขวบ โดยเลือกที่จะเล่นตำแหน่งกองกลางตัวรุกแบบเดียวกับซึบาสะตัวละครที่เป็นไอดอลของเขา


นากาตะ เริ่มเส้นทางอาชีพเมื่ออายุ 18 ปีกับทีมโชวนัน เบลม่า ในเจลีกญี่ปุ่น และพาทีมคว้าแชมป์วินเนอร์คัพอาเซี่ยนคัพได้ในปีแรกที่เขาเข้ามา การฝึกฝนและมีวินัยที่สม่ำเสมอทำให้เขาได้รับรางวัลนักเตะเอเชียยอดเยี่ยม แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่พอที่จะทำให้เขากลายเป็นนักเตะระดับโลกขึ้นมาได้


นากาตะ มองเห็นโอกาสที่เขาจะพาทีมชาติญี่ปุ่นออกไปให้ทั้งโลกฟุตบอลมองเห็นด้วยการได้ไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายให้ได้ และในปี 1998 เขาก็ทำสำเร็จด้วยการพาทีมชาติญี่ปุ่นไปเฉิดฉายในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ถึงแม้ทีมชาติญี่ปุ่นจะตกรอบแรก แต่ฟอร์มการเล่นของ นากาตะ นั้นกลับเฉิดฉาย ในที่สุดโลกของฟุตบอลก็มองเห็นเขา


ทีมเปรูจา ในเซเรีย อา อิตาลีได้เปลี่ยนชีวิตของนากาตะ ด้วยเงิน 4 ล้านดอลล่า ซึ่งเป็นค่าตัวในตอนนั้น ในนัดแรกนากาตะสร้างปรากฎการณ์ด้วยการยิงลูกบอลผ่านมือเอ็ดวิน ฟานเดอซาร์ผู้รักษาประตูยูเวนตุสได้ถึง 2 ลูก ส่งผลให้เขาถูกพูดถึงในฐานะนักเตะเอเชียคนแรกที่สามารถระเบิดฟอร์มในทวีปยุโรป สื่อต่าง ๆ พากันสนใจในตัวเขาแต่สิ่งที่เขายึดมั่นคือการเล่นฟุตบอลไม่ใช่ชื่อเสียงหรือเงินทอง นั่นจึงทำให้เขาไม่ไขว้เขวกับสิ่งที่เข้ามาส่งผลให้ฟอร์มการเล่นของเขาดีขึ้นเรื่อย ๆ จนไปเข้าตาทีมใหญ่อย่าง โรม่า ดึงเขาเข้าไปร่วมทีม


ที่นั่นเขาต้องแย่งชิงตำแหน่งหน้าต่ำ ตำแหน่งเดียวกับไอดอลซึบาสะของเขากับเจ้าชายหมาป่าอย่าง ฟรานเชตโก้ ต็อตติ สุดท้ายเขาต้องยอมถอยมาเล่นในตำแหน่งกลางรับแทนเพื่อโอกาสลงสนามต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฟอร์มการเล่นเขาแย่เพียงแค่โอกาสในการทำประตูน้อยลงเท่านั้น และยังเป็นส่วนช่วยให้ทีม โรม่า คว้าแชมป์เซเรีย อา ได้ด้วย ส่งผลให้ นากาตะ กลายเป็นนักเตะเอเชียคนแรกมีชื่อเขาชิงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลกหรืออีกชื่อคือ บัลลงดอร์ นั่นคือจุดสูงสุดในอาชีพของเขาและถือว่าเป็นจุดสูงสุดที่นักเตะเอเชียจะทำได้ สุดท้ายเขาก็จากโรม่าไปปาร์ม่า ด้วยการเป้นนักเตะเอเชียที่มีค่าตัวสูงสุดในโลก นากาตะได้บุกเบิกตลาดยุโรปให้กับนักเตะเอเชียรุ่นต่อไปอย่างแท้จริง


กลับมาที่ผลงานทีมชาติบ้างจากชื่อเสียงที่ นากาตะ ทำ เขากลายเป็นแรงบันดาลใจให้นักเตะญี่ปุ่นทุกคนพร้อมจะทุ่มเทและวิ่งไล่ตามรอยเท้าเขา และปี 2002 ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกร่วมกับเกาหลีใต้ กระแส นากาตะฟีเวอร์ ก็ทำให้ทีมชาติญี่ปุ่นฝ่าฟันฟุตบอลโลกเข้าไปถึงรอบน็อคเอาท์ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสต์โดยนักเตะที่มีผลผลิตจากแรงบันดาลใจของนากาตะ อย่าง จุนอิจิ อินาโมโตะ และ ชุนสุเกะ นากามูระ เป็นตัวช่วยเขาอีกแรง นั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า นากาตะ มีอิทธิพลต่อนักเตะญี่ปุ่นมากในเวลานั้น


แต่ในสุดท้ายแล้วฟอร์มการเล่นของเขาที่ทีมปาร์ม่าก็ไม่ค่อยดีนักผลมาจากอาการบาดเจ็บที่เขาเผชิญทำให้เขาต้องพเนจร ฟิออเรนติน่า, โบโลญญ่า คือรายชื่อทีมที่เขาย้ายออกมาตามลำดับ และที่สโสรโบลตัน วันเดอร์เรอ์ทีมจากพรีเมียร์ลีกอังกฤษ คือสังเวียนสุดท้ายของเขา เขาแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 29 ปี ด้วยเหตุผลที่ว่า ฟุตบอลไม่ใช่สิ่งที่เขารักอีกต่อไปแล้วเนื่องจากว่ามันมีธุรกิจเรื่องเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้อง และเขาต้องการออกจากโลกที่เขาอยู่มาตั้งแต่เด็กไปเจอโลกภายนอกบ้าง หลังจากทลายกำแพงระหว่างนักเตะเอเชียกับทวีปยุโรปได้สำเร็จปิดตำนานนักเตะเอเชียคนแรกที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกไป


นี่คือเรื่องราวที่เกิดมาจากแรงบันดาลใจเล็ก ๆ จากการ์ตูนวัยเด็ก สู่การทำตามความฝันอันยิ่งใหญ่ และเป็นใบเบิกทางให้นักเตะจากเอเชียมากมายให้เดินตามรอยเท้าของเขา ชายผู้ที่นำโลกในจินตนาการมาหลอมรวมเข้ากับโลกในความเป็นจริง.


ดูข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ : เพจ Goalstorm


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชายที่เอาชนะฝันร้าย โรแบร์โต้ บาจโจ้

มิดฟิลด์ไดนาโม “พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล”